Powered By Blogger

วันพฤหัสบดีที่ 13 มกราคม พ.ศ. 2554

เครื่องสำอางที่เราใช้แต่งหน้า

1.อายแชโดว์



2.มาสคาร่า


3.ลิปสติก



4.รองพื้น

5.คอนซิลเลอร์


6.บลัชออน


7.แป้งพัฟ

8.ดินสอเขียนคิ้ว


9.อายไลเนอร์

เพื่อน ๆ บางคนอาจมีเครื่องสำอางในการแต่งหน้ามากกว่านี้....ก็ไม่ว่ากัน

อุปกรณ์ในการแต่งหน้า ของสาว สาว


1. สำลี คงจะรู้จักกันอยู่แล้วนะจ๊ะ ว่ามันมีประโยชน์ในการ ทำความสะอาดสิ่งต่าง ๆ และเช่นเดียวกัน สำลีก็มีประโยชน์ สำหรับทำความ สะอาดผิวหน้านะ เราควรใช้สำลีทำความสะอาด ผิวหน้าทั้งก่อน แต่งหน้าและก่อนล้างหน้า ใช้เช็ดเครื่องสำอาง ให้สะอาดหมดจด ก่อนการล้างหน้าทุกครั้ง

2. พัฟฟองน้ำ เป็นฟองน้ำไว้สำหรับ ในการเกลี่ยรองพื้น ให้เนียน เรียบเสมอกันทั้งใบหน้า มีหลายแบบทั้งวงกลม วงรี และสามเหลี่ยม ควรเลือกชนิด ที่มีฟองอากาศ หรือรูระบายอากาศ ค่อนข้างดี เพราะจะ ทำให้การเกลี่ยรองพื้นได้เนียนกว่า และไม่กินรองพื้น มีทั้งทำความสะอาด และใช้ครั้งเดียว

3. พัฟตบแป้ง ใช้สำหรับซับแป้งหลังจากลงรองพื้น และเฉดดิ้ง ไฮไลท์แล้ว มีอยู่หลายขนาดแล้ว แต่จะเลือกใช้ตามความถนัด ของแต่ละบุคคล บางตำราว่าเลือกใช้ตามราศีเกิด (ล้อเล่น)

4. กบเหลาดินสอ กบเหลาดินสอที่ว่าไม่เหมือนกับ กบเหลาดินสอ เขียนหนังสือนะจ๊ะ เพราะใช้เหลาดินสอเขียนคิ้ว และเครื่องสำอาง ที่เป็นดินสอทุกชนิดเท่านั้น

5. Cotton Bud ใช้เช็ดหรือเกลี่ยเครื่องสำอางตามชอกเล็ก ๆ เช่น หัวตา และร่องจมูก เป็นต้น

6. ที่ดัดขนตา ที่ดัดขนตาแบบที่ทำจากยางซิลิโคน สะดวก มาก สำหรับคุณหญิงที่ขาดแคลนขนตา ในการยังชีพ ตัดแล้วเด้งดีจริงๆ "ที่ดัดขนตา" คงไม่มีใคร เอาไปดัดขนคิ้ว หรือขนหน้าแข้งนะจ๊ะ ควรจะระวังให้มากหน่อย เพราะใช้ใกล้ตา และการดัดควรให้ชิด ขอบตา แต่อย่าโดนหนังตานะจ๊ะ

7. พู่กันทาตาใช้สำหรับ การลงสีอายแชโดว์ของตา ทั้งขอบตา ล่างด้วย

8. พู่กันปัดมาสคาร่า ใช้สำหรับปัดมาสคาร่า เพื่อปัดมาสคาร่า ที่เป็นก้อนจนเกินไป

9. พู่กันเขียนคิ้ว ใช้สำหรับเขียนคิ้ว ให้ดูเป็น ธรรมชาติ ไม่เป็นเส้นจนเกินไป แล้วใช้แปรง ปัดคิ้วซ้ำอีกที เพื่อความสวยงาม

10. พู่กันทาปากชนิดแบน เป็นพู่กัน ทาปากที่เป็นการเขียน ขอบปาก เป็นการ เขียนริมฝีปาก ให้เป็นกรอบก่อน กัน เลอะเทอะ

11. พู่กันอายไลน์เนอร์ ใช้สำหรับการ ลงสีอายไลน์เนอร์ ทั้งขอบตาบน และ ขอบตาล่าง โดยใช้ ตัดเส้นขอบตาทั้งบน และล่าง ให้คมชัดยิ่งขึ้น

12.แปรงปัดคิ้วพร้อมหวี ใช้แปรง ขนคิ้วให้ได้รูปทรง และดูเป็นธรรมชาติ ใช้เกลี่ยหลังจาก เขียนคิ้วด้วยดินสอ หรือพู่กัน เขียนคิ้ว

13. แปรงปัดแก้มขนาดใหญ่ ใช้ สำหรับปัดแป้ง หลังจากทาแป้ง ด้วยพัฟ และใช้สำหรับการทาแก้ม (บรัชออน) ให้กระจายไปเป็น แนวกว้าง

14. พู่กันทาปากธรรมดา เป็นพู่กัน สำหรับการลงขอบปาก ด้วยดินสอเขียน ปากแล้ว หรือตัดขอบปากแล้ว

วันพฤหัสบดีที่ 9 ธันวาคม พ.ศ. 2553

คุณรู้จักเครื่องสำอางป้องกันแสงแดดมากแค่ไหน?


          ประเทศไทยของเราอยู่ในเขตร้อน ทำให้มีแสงแดดจัดเกือบตลอดปี ทำให้เป็นเรื่องยากทีเราจะหลบหลีกจากแสงแดด ร๊อน ร้อน
         แสงจากดวงอาทิตย์ประกอบไปด้วยรังสีในรูปของคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าหลายชนิด เช่น รังสีแกมมา รังสีเอ็กซ์รังสีอัลตราไวโอเลต (UV) รังสีที่มองเห็นได้และรังสีอินฟราเรด เป็นต้น โดยรังสีเหล่านี้มีผลต่อร่างกายของเรามาก คือ รังสีอัลตราไวโอเลต ซึ่งมีคุณสมบัติเป็นคลื่นแสงที่มองไม่เห็น มีความยาวคลื่นสั้นกว่าแสงที่ให้แสงสว่าง รังสีอัลตราไวโอเลตแบ่งเป็น รังสีคลื่นยาว (ยูวีเอ) และรังสีคลื่นสั้น(ยูวีบี)
          รังสีอัลตราไวโอเลตได้ต่อร่างกาย คือ ช่วยสร้างวิตามินดีซึ่งการสร้างวิตามินดีปริมาณที่เพียงพอนั้น ต้องการแสงแดดเพียงแค่10 –15 นาทีต่อวันเท่านั้น ก็ยังดีที่ยังมีประโยชน์ต่อผิวของเราบ้าง

           หากร่างกายของเราได้รับรังสีอัลตราไวโอเลตมากเกินไป ก็จะทำให้ผิวหนังเหี่ยวย่นก่อนวัย เกิดผิวไหม้และอาจทำให้เป็นมะเร็งผิวหนังได้ดังนั้นถ้าจะให้ดีเราจึงควรหลีกเลี่ยงแสงแดดในช่วงเวลาที่แดดจัด หากเราไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้การใช้เครื่องสำอางป้องกันแสงแดด



การหลีกเลี่ยงแสงแดด

หลีกเลี่ยงการอยู่กลางแจ้งโดยเฉพาะในช่วงเวลาที่แสงแดดจัดจ้า เช่นในช่วงเวลา 10.00 น. - 16.00 น. ถ้าไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้ก็ไม่ควรถูกแสงแดดในระยะเวลานี้นานเกิน 20 นาที รวมไปถึงวันที่ครึ้มฟ้าครื้มฝนก็ควรหลีกเลี่ยงการทำกิจกรรมนอกบ้านระหว่างเวลา 10.00 น.-16.00 น.เช่นกัน เพราะจะทำให้เราได้รับไอแดดมากถึงร้อยละ 80 นอกจากนี้ควรหลีกเลี่ยงการอยู่ใกล้แสงสะท้อนจากทราย น้ำและคอนกรีต เพราะจะทำให้ผิวหนังได้รับแสงปริมาณมากขึ้น รวมทั้ง ผู้ที่รับประทานยา หรือใช้ยาทาบางชนิด และการใช้เครื่องสำอางบางชนิด อาจทำให้เกิดการแพ้แสงได้เมื่อถูกแดด
       การอยู่ในอาคารบ้านเรือนที่มิดชิด รถยนต์ร่มไม้ชายคา การสวมเสื้อผ้า หมวก ร่ม ตลอดจนการใช้เครื่องสำอางป้องกันแสงแดด ก็เป็นทางเลือกสำหรับหลีกเลี่ยงอันตรายจากแสงแดดได้


คุณสมบัติของสารป้องกันแสงแดด

ปัจจุบันเครื่องสำอางป้องกันแสงแดดมักใช้สารหลายชนิดร่วมกัน เพื่อป้องกันรังสีคลื่นยาว(ยูวีเอ) และรังสีคลื่นสั้น(ยูวีบี) แต่ประสิทธิภาพของสารป้องกันแสงแดดจะพิจารณาจากประสิทธิภาพในการป้องกันแสงแดดจากรังสียูวีบีเท่านั้น โดยใช้ค่า SPF ( sun protective factor) ตัวอย่างเช่น เครื่องสำอางป้องกันแสงแดด ที่มีค่า SPF = 2 หมายความว่า เมื่อทาเครื่องสำอางป้องกันแสงแดดตัวนี้แล้วจะป้องกันผิวไหม้แดดเป็นเวลานาน 2 เท่า เมื่อเทียบกับ ตอนไม่ได้ทา เช่นถ้าไม่ทาเครื่องสำอางป้องกันแสงแดด แล้วออกแดดเป็นเวลา 10 นาทีจึงเริ่มมีอาการแดงที่ผิว ซึ่งเป็นอาการของผิวไหม้แดด หากทาเครื่องสำอางป้องกันแสงแดดชนิดนี้ แล้วต้องใช้เวลาถึง 20 นาทีผิวจึงเริ่มไหม้แดด จะเห็นได้ว่ายิ่งมีค่า SPF สูงขึ้น ประสิทธิภาพในการกันแดดก็จะสูงขึ้นด้วยคือมีฤทธิ์ป้องกันยาวนานขึ้น



การเลือกซื้อเครื่องสำอางป้องกันแสงแดด
      เครื่องสำอางป้องกันแสงแดดที่มีจำหน่าย แบ่งได้เป็น 2 กลุ่ม คือ
1. เครื่องสำอางควบคุม เป็นเครื่องสำอางป้องกันแสงแดดที่มีส่วนผสมของสารป้องกันแสงแดด ที่กระทรวงสาธารณสุขกำหนดเป็นสารควบคุม จำนวน 19 ชนิด และที่ฉลากต้องแสดงข้อความ “เครื่องสำอางควบคุม ” และแสดงคำเตือน ดังนี้
- เก็บให้พ้นแสงแดด
- หากเกิดอาการคัน ระคายเคืองหรือมีเม็ดผื่นแดง ควรหยุดใช้และปรึกษาแพทย์
หากพบผลิตภัณฑ์เครื่องสำอางใด มีปริมาณสารควบคุมเกินกว่าอัตราสูงสุดที่กำหนดให้ใช้ถือว่าเป็นเครื่องสำอางที่มีวัตถุห้ามใช้เป็นส่วนผสมในการผลิตเครื่องสำอาง ไม่ปลอดภัยในการใช้



2. เครื่องสำอางทั่วไป เป็นเครื่องสำอางป้องกันแสงแดดที่ประกอบด้วยสารป้องกันแสงแดดชนิดที่ไม่ได้ประกาศเป็นสารควบคุม เช่น ไตตาเนียม ไดออกไซด์และ ซิงก์ออกไซด์เป็นต้น เครื่องสำอางทั้งสองกลุ่ม จะต้องมีฉลากภาษาไทย แสดงชื่อและประเภทของผลิตภัณฑ์ชื่อและปริมาณส่วน
ประกอบสำคัญ ชื่อที่ตั้งของผู้ผลิตหรือผู้นำเข้า เลขที่แสดงครั้งที่ผลิต วันเดือนปีที่ผลิต วิธีใช้ปริมาณสุทธิและคำเตือน (ถ้ามี)




การเลือกใช้เครื่องสำอางป้องกันแสงแดด


โดยทั่วไปการหลีกเลี่ยงแสงแดดเป็นสิ่งดีที่สุด ในกรณีที่ต้องการใช้เครื่องสำอางป้องกันแสงแดด มีข้อแนะนำในการเลือกใช้ดังนี้

1. เครื่องสำอางป้องกันแสงแดดที่มีประสิทธิภาพจะต้องบอกค่า SPF เช่น SPF 8 , 12 , 15 , 25 หรือ 30 เป็นต้น การเลือกใช้ขึ้นกับจุดมุ่งหมาย เช่น ผู้ที่ต้องอยู่ในแดดจ้าเป็นเวลานานๆ ควรเลือกชนิดที่มี SPF สูง เช่น SPF 15 หรือมากกว่า สำหรับผู้ที่ใช้เครื่องสำอางทาผิวหน้าที่มีส่วนผสมของสาร เอ เอช เอ ต้องใช้เครื่องสำอาง ป้องกันแสงแดด ควบคู่ไปด้วยเนื่องจาก เอ เอช เอ จะทำให้ผิวหน้าไวต่อแสงแดดมากขึ้น

2. เลือกดูที่ฉลากระบุว่ากันน้ำหรือไม่เพราะกรณีต้องการป้องกันแสงแดดขณะว่ายน้ำควรเลือกชนิดที่กันน้ำ (water resistance) ถ้าใช้ขณะอากาศร้อนมากเหงื่อออกง่าย หรือป้องกันแสงแดดเมื่อเล่นกีฬา ควรเลือกชนิดทนต่อเหงื่อ (sweat resistance)

3. ควรเลือกชนิดที่ฉลากระบุว่าสามารถป้องกันรังสียูวีเอหรือยูวีบีหรือป้องกันได้ทั้งสองอย่าง เพราะรังสียูวีเอทำให้ผิวเหี่ยวย่น รังสียูวีบีทำให้ผิวไหม้แดดและทำให้เกิดมะเร็งของผิวหนัง


ข้อแนะนำการใช้
* ควรทาเครื่องสำอางป้องกันแสงแดด ก่อนออกแดดอย่างน้อย 30 นาทีเพื่อให้เนื้อผลิตภัณฑ์เคลือบติดที่ผิวแดดได้ดียิ่งขึ้น

* ควรทาเครื่องสำอางป้องกันแสงแดด ให้ทั่วบริเวณที่จะต้องถูกแสงแดด ยกเว้นบริเวณรอบดวงตาและรอบริมฝีปาก หากต้องการปกป้องริมฝีปากในขณะออกแดด สามารถใช้ลิปสติกที่มีส่วนผสมของสารป้องกันแสงแดดได้

* ในกรณีเล่นกีฬากลางแจ้ง หรืออยู่กลางแจ้งมีเหงื่อออกหรือว่ายน้ำต้องทาเครื่องสำอางป้องกันแสงแดด ซ้ำทุก 1 ชั่วโมง

* ควรทาเครื่องสำอางป้องกันแสงแดดให้เหมาะกับการแต่งหน้า ถ้าเป็นเครื่องสำอางป้องกันแสงแดดประเภทสารที่เป็นตัวสะท้อนแสง( Physical sunscreen ) ควรทาหลังสุดเพื่อไม่ให้ขัดขวางเครื่องสำอางหรือสิ่งที่ทา
ตามหลังได้ส่วนประเภทสารดูดกลืนแสง( Chemical sunscreen ) ควรทาก่อนครีมชนิดอื่นๆ เพื่อให้สารดูดกลืนแสงจับยึดกับผิวได้ช่วยให้ประสิทธิภาพของการป้องกันแสงแดดของผลิตภัณฑ์ดี


การเลือกใช้เครื่องสำอางให้ปลอดภัย

           ตามบัญชีแนบท้ายประกาศกระทรวงสาธารณสุข พ.ศ. 2551 เรื่องกำหนดวัตถุที่ห้ามใช้เป็นส่วนผสมในการผลิตเครื่องสำอาง สารห้ามใช้ในเครื่องสำอางที่สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) ประกาศห้ามใช้ มีทั้งสิ้น 1,253 รายการ ซึ่งจะสามารถแบ่งเป็นกลุ่ม ได้แก่
       โลหะต่างๆ สารที่เข้าข่ายเป็นยา เช่น สารปฏิชีวนะ
       ฮอร์โมนส์ เช่น เอสโตรเจน
       สารที่มีความเสี่ยงต่อการแพร่กระจายของจุลินทรีย์ที่ก่อให้เกิดโรค
       พืชสมุนไพรบางชนิด
       สีย้อมผม
       สีบางชนิด
       สารแต่งกลิ่นหอม
       สารเสพติด(Narcotics, natural and synthetic)
       สารก่อมะเร็ง เช่น ไดออกเซน (Dioxane) ไนโตรซามีน       
       (Nitrosamine) เป็นต้น
       สารที่เป็นพิษต่อระบบสืบพันธุ์

       สำหรับเครื่องสำอางที่ทาง อย.ตรวจวิเคราะห์พบวัตถุที่ห้ามใช้เป็นส่วนผสมในการผลิตเครื่องสำอาง จะจัดเป็นเครื่องสำอางที่ไม่ปลอดภัยในการใช้ ผู้ใดผลิต นำเข้า หรือขาย จะต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 1 ปี หรือปรับไม่เกิน 6 หมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ




     เครื่องสำอางที่มักจะมีปัญหาที่เกิดกับผู้ใช้ ส่วนใหญ่แล้ว มักจะมีส่วนผสมของสารอันตรายที่ อย. ประกาศห้ามใช้ เป็นส่วนผสม  แต่ก็ยังมีผู้ผลิตบางรายที่ยังลักลอบใส่สารอันตรายลงไปในเครื่องสำอางอยู่ และสารอันตรายที่ อย. ตรวจเจอบ่อย ๆ  จะมีอยู่ 3 ตัว
 
1.สารประกอบของปรอท ทำให้เกิดอาการแพ้ ผื่นแดง ผิวหน้าดำ ผิวบางลง เกิดพิษสะสมของสารปรอท ทำให้ทางเดินปัสสาวะอักเสบ และไตอักเสบ

2.สารไฮโดรควิโนน เป็นสารที่ออกฤทธิ์ช่วยลดการสร้างเมลานินหรือเม็ดสีในผิวหนัง เคยได้รับอนุญาตให้ใช้ในครีมแก้ฝ้า แต่หลังจากปี 2539 ก็ห้ามใช้สารนี้ เพราะผู้ที่ใช้ผลิตภัณฑ์ผสมสารไฮโดรควิโนนรักษาฝ้าเป็นเวลานานๆ มักเจอปัญหาผิวหน้าระคายเคืองจนเกิดเป็นด่างขาวหรือในบางรายอาจจะทำให้ผิวหน้าคล้ำขึ้น และกลายเป็นฝ้าถาวรที่ไม่อาจรักษาให้หายขาดได้

3.กรดเรทิโนอิก (กรดวิตามินเอ) ทำให้หน้าแดง แสบร้อนรุนแรง เกิดการอักเสบ ผิวหน้าลอกอย่างรุนแรง และเป็นอันตรายต่อทารกในครรภ์


         

    จนถึงทุกวันนี้ อย. ได้ดำเนินการประกาศภาพและชื่อ เครื่องสำอางที่มีสารอันตรายไปแล้วทั้งหมด กว่า 660 รายการ โดยเราสามารถเข้าไปตรวจสอบรายชื่อเครื่องสำอางอันตรายดังกล่าวได้ที่ www.fda.moph.go.th เลือก “เครื่องสำอาง” และ “เครื่องสำอางอันตราย” เพือบางทีเครื่องสำอางที่เราใช้อยู่มันอาจจะมีส่วนผสมของสารอันตรายอยู่ก็ได้


ภาพจริงที่เกิดจากการใช้เครื่องสำอางที่มีส่วนผสมของสารอันตราย 
(น่ากลัวจัง !)

วันอังคารที่ 7 ธันวาคม พ.ศ. 2553

บทบาทของ...เครื่องสำอาง




      ดิฉันชื่อ นางสาวพัชราภรณ์ สมควร ชื่อเล่น นุ่ม  เรียนที่ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคล ล้านนา เชียงใหม่ และมีหนึ่งวิชาที่เป็นวิชาที่เกี่ยวข้องกับชีวิตประจำวันของเรา คือวิชา วิทยาศาสตร์เพื่อสุขภาพ ที่ดิฉันและเพื่อน ๆ บธ.บ.กต1 ได้เรียนถือว่า เป็นวิชาที่มีเนื้อหาที่ให้ความรู้เกี่ยวกับการกิน การใช้ ยา อาหาร สมุนไพรต่าง ๆ เครื่องสำอาง และในปัจจุบันสินค้าเครื่องสำอางเข้ามามีบทบาทมากขึ้นในผู้บริโภคทุกเพศ ทุกวัย ไม่ว่าลูกเล็กเด็กแดง วัยรุ่นหนุ่มสาว วัยทำงาน ไปจนถึงวัยชรา
     เครื่องสำอางเป็นสิ่งที่ขาดไม่ได้ในชีวิตประจำวันเริ่มตั้งแต่ตื่นนอนในตอนเช้า จนถึงเข้านอนในตอนกลางคืน ทำให้เห็นว่าการใช้เครื่องสำอางอาจเกิดอาการไม่พึงประสงค์จากการใช้เครื่องสำอาง มีให้เห็นตามข่าวอยู่ บ่อยครั้ง บางรายถึงขั้นเสียโฉม หน้าตาพังยับเยิน เพียงเพราะความ รู้เท่าไม่ถึงการณ์ หลงเชื่อคำโฆษณาโอ้อวดเกินจริง เช่น ใช้แล้วผิวจะขาวขึ้น ได้ภายใน 7 วัน ผ่านการทดสอบทางการแพทย์แล้วว่าไม่ระคายเคือง/ไม่แพ้ แม้ผิวที่บอบบาง เป็นต้น สาเหตุเกิดจากเครื่องสำอางเหล่านี้ มีส่วนผสมของ สารอันตรายที่ห้ามใช้ในเครื่องสำอางผสมอยู่ ซึ่งมีผู้ผลิตบางรายลักลอบใส่ เพื่อให้เครื่องสำอางของตนใช้แล้วเห็นผลชัดเจน รวดเร็ว แต่สารดังกล่าวหาก ใช้ไปนาน ๆ ก่อให้เกิดอาการไม่พึงประสงค์ เช่น ผิวหน้าระคายเคือง หน้าดำคล้ำ เป็นฝ้าถาวร ถึงขั้นเสียโฉมดังที่ตกเป็นข่าว
      ดังนั้นดิฉันจึงอยากจะทำ Blog ที่ให้ความรู้เกี่ยวภัยจากเครื่องสำอาง ซึ่งหลายคนอาจยังไม่ทราบ ถึงภัยทีอยู่ใกล้ตัวของเราเอง


เรา...ในฐานะผู้บริโภคควรจะเลือกใช้อย่างไรให้ปลอดภัย




1. เราควรซื้อเครื่องสำอางจากร้านที่มีสถานที่จำหน่ายที่เป็นหลักแหล่ง แน่นอน เพราะถ้าหากเรามีปัญหาจะได้สามารถติดต่อกลับได้ทันที

2. เลือกซื้อเครื่องสำอางที่มีฉลากภาษาไทย ที่ระบุสาระสำคัญครบถ้วน ได้แก่ ชื่อ ประเภทของเครื่องสำอาง ส่วนประกอบ ชื่อและที่ตั้งของผู้ผลิต หรือผู้นำเข้า เดือนปีที่ผลิต วิธีใช้ และ ปริมาณสุทธิ เป็นต้น

3. ถ้าหากจะใช้เครื่องสำอางชนิดใดเป็นครั้งแรก ก็ควรทดสอบการแพ้ก่อนใช้ด้วยการทา ผลิตภัณฑ์นั้นในปริมาณน้อยที่บริเวณท้องแขน หรือบริเวณติ่งหู แล้วทิ้งไว้ 24-48 ชั่วโมง หากไม่มี ความผิดปกติ ใด ๆ เกิดขึ้น ก็แสดงว่าใช้เครื่องสำอางนั้นได้ค่ะ

4. ปฏิบัติตามวิธีใช้ที่ระบุไว้ และใช้ด้วยความระมัดระวังตามคำเตือนที่ระบุไว้ที่ฉลาก อย่างเคร่งครัด

5. หากใช้เครื่องสำอางใดแล้วมีความผิดปกติเกิดขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการใช้ครั้งแรก หรือใช้ มาระยะหนึ่งแล้วก็ตาม ต้องหยุดใช้ทันที และถ้าหยุดใช้แล้วอาการยังไม่ดีขึ้น ก็ควรปรึกษาแพทย์ หรือเภสัชกร เพื่อค้นหาสาเหตุ และทำการรักษาให้ถูกต้องเหมาะสมต่อไป

6. ทุกครั้งเมื่อเราใช้เครื่องสำอางเสร็จแล้ว ควรปิดภาชนะบรรจุให้สนิทเพื่อป้องกันการปนเปื้อนที่อาจจะตกลงไปที่ภาชนะที่บรรจุ

7. ครวจะเก็บเครื่องสำอางไว้ในที่แห้ง เย็น ไม่ถูกความร้อนหรือแสงแดด เพราะความร้อนหรือ แสงแดด จะทำให้เครื่องสำอางเสื่อมคุณภาพเร็วกว่าที่ควรค่ะ

8. ห้ามเติมสารใด ๆ ลงในเครื่องสำอาง ยกเว้นกรณีที่ระบุไว้ที่ฉลาก เพราะจะทำให้ คุณภาพของผลิตภัณฑ์เปลี่ยนแปลงไป เกิดการปนเปื้อนจากสารอื่น ๆ รวมทั้งเชื้อโรคด้วยค่ะ

9. อย่าใช้เครื่องสำอางร่วมกับผู้อื่น เพราะอาจติดเชื้อโรคได้

10. หากเครื่องสำอางมีลักษณะเปลี่ยนแปลงไป ไม่ว่าสี กลิ่น หรือความข้น อย่าไป เสียดายนะคะ ให้ทิ้งไปเลย เพราะแสดงว่าเครื่องสำอางนั้นเสื่อมคุณภาพแล้วนั่นเอง




"ลองหันไปดูซิว่าเครื่องสำอางที่คุณใช้อยู่ปลอดภัยจริง ๆ หรือเปล่า ? "