Powered By Blogger

วันพฤหัสบดีที่ 9 ธันวาคม พ.ศ. 2553

คุณรู้จักเครื่องสำอางป้องกันแสงแดดมากแค่ไหน?


          ประเทศไทยของเราอยู่ในเขตร้อน ทำให้มีแสงแดดจัดเกือบตลอดปี ทำให้เป็นเรื่องยากทีเราจะหลบหลีกจากแสงแดด ร๊อน ร้อน
         แสงจากดวงอาทิตย์ประกอบไปด้วยรังสีในรูปของคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าหลายชนิด เช่น รังสีแกมมา รังสีเอ็กซ์รังสีอัลตราไวโอเลต (UV) รังสีที่มองเห็นได้และรังสีอินฟราเรด เป็นต้น โดยรังสีเหล่านี้มีผลต่อร่างกายของเรามาก คือ รังสีอัลตราไวโอเลต ซึ่งมีคุณสมบัติเป็นคลื่นแสงที่มองไม่เห็น มีความยาวคลื่นสั้นกว่าแสงที่ให้แสงสว่าง รังสีอัลตราไวโอเลตแบ่งเป็น รังสีคลื่นยาว (ยูวีเอ) และรังสีคลื่นสั้น(ยูวีบี)
          รังสีอัลตราไวโอเลตได้ต่อร่างกาย คือ ช่วยสร้างวิตามินดีซึ่งการสร้างวิตามินดีปริมาณที่เพียงพอนั้น ต้องการแสงแดดเพียงแค่10 –15 นาทีต่อวันเท่านั้น ก็ยังดีที่ยังมีประโยชน์ต่อผิวของเราบ้าง

           หากร่างกายของเราได้รับรังสีอัลตราไวโอเลตมากเกินไป ก็จะทำให้ผิวหนังเหี่ยวย่นก่อนวัย เกิดผิวไหม้และอาจทำให้เป็นมะเร็งผิวหนังได้ดังนั้นถ้าจะให้ดีเราจึงควรหลีกเลี่ยงแสงแดดในช่วงเวลาที่แดดจัด หากเราไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้การใช้เครื่องสำอางป้องกันแสงแดด



การหลีกเลี่ยงแสงแดด

หลีกเลี่ยงการอยู่กลางแจ้งโดยเฉพาะในช่วงเวลาที่แสงแดดจัดจ้า เช่นในช่วงเวลา 10.00 น. - 16.00 น. ถ้าไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้ก็ไม่ควรถูกแสงแดดในระยะเวลานี้นานเกิน 20 นาที รวมไปถึงวันที่ครึ้มฟ้าครื้มฝนก็ควรหลีกเลี่ยงการทำกิจกรรมนอกบ้านระหว่างเวลา 10.00 น.-16.00 น.เช่นกัน เพราะจะทำให้เราได้รับไอแดดมากถึงร้อยละ 80 นอกจากนี้ควรหลีกเลี่ยงการอยู่ใกล้แสงสะท้อนจากทราย น้ำและคอนกรีต เพราะจะทำให้ผิวหนังได้รับแสงปริมาณมากขึ้น รวมทั้ง ผู้ที่รับประทานยา หรือใช้ยาทาบางชนิด และการใช้เครื่องสำอางบางชนิด อาจทำให้เกิดการแพ้แสงได้เมื่อถูกแดด
       การอยู่ในอาคารบ้านเรือนที่มิดชิด รถยนต์ร่มไม้ชายคา การสวมเสื้อผ้า หมวก ร่ม ตลอดจนการใช้เครื่องสำอางป้องกันแสงแดด ก็เป็นทางเลือกสำหรับหลีกเลี่ยงอันตรายจากแสงแดดได้


คุณสมบัติของสารป้องกันแสงแดด

ปัจจุบันเครื่องสำอางป้องกันแสงแดดมักใช้สารหลายชนิดร่วมกัน เพื่อป้องกันรังสีคลื่นยาว(ยูวีเอ) และรังสีคลื่นสั้น(ยูวีบี) แต่ประสิทธิภาพของสารป้องกันแสงแดดจะพิจารณาจากประสิทธิภาพในการป้องกันแสงแดดจากรังสียูวีบีเท่านั้น โดยใช้ค่า SPF ( sun protective factor) ตัวอย่างเช่น เครื่องสำอางป้องกันแสงแดด ที่มีค่า SPF = 2 หมายความว่า เมื่อทาเครื่องสำอางป้องกันแสงแดดตัวนี้แล้วจะป้องกันผิวไหม้แดดเป็นเวลานาน 2 เท่า เมื่อเทียบกับ ตอนไม่ได้ทา เช่นถ้าไม่ทาเครื่องสำอางป้องกันแสงแดด แล้วออกแดดเป็นเวลา 10 นาทีจึงเริ่มมีอาการแดงที่ผิว ซึ่งเป็นอาการของผิวไหม้แดด หากทาเครื่องสำอางป้องกันแสงแดดชนิดนี้ แล้วต้องใช้เวลาถึง 20 นาทีผิวจึงเริ่มไหม้แดด จะเห็นได้ว่ายิ่งมีค่า SPF สูงขึ้น ประสิทธิภาพในการกันแดดก็จะสูงขึ้นด้วยคือมีฤทธิ์ป้องกันยาวนานขึ้น



การเลือกซื้อเครื่องสำอางป้องกันแสงแดด
      เครื่องสำอางป้องกันแสงแดดที่มีจำหน่าย แบ่งได้เป็น 2 กลุ่ม คือ
1. เครื่องสำอางควบคุม เป็นเครื่องสำอางป้องกันแสงแดดที่มีส่วนผสมของสารป้องกันแสงแดด ที่กระทรวงสาธารณสุขกำหนดเป็นสารควบคุม จำนวน 19 ชนิด และที่ฉลากต้องแสดงข้อความ “เครื่องสำอางควบคุม ” และแสดงคำเตือน ดังนี้
- เก็บให้พ้นแสงแดด
- หากเกิดอาการคัน ระคายเคืองหรือมีเม็ดผื่นแดง ควรหยุดใช้และปรึกษาแพทย์
หากพบผลิตภัณฑ์เครื่องสำอางใด มีปริมาณสารควบคุมเกินกว่าอัตราสูงสุดที่กำหนดให้ใช้ถือว่าเป็นเครื่องสำอางที่มีวัตถุห้ามใช้เป็นส่วนผสมในการผลิตเครื่องสำอาง ไม่ปลอดภัยในการใช้



2. เครื่องสำอางทั่วไป เป็นเครื่องสำอางป้องกันแสงแดดที่ประกอบด้วยสารป้องกันแสงแดดชนิดที่ไม่ได้ประกาศเป็นสารควบคุม เช่น ไตตาเนียม ไดออกไซด์และ ซิงก์ออกไซด์เป็นต้น เครื่องสำอางทั้งสองกลุ่ม จะต้องมีฉลากภาษาไทย แสดงชื่อและประเภทของผลิตภัณฑ์ชื่อและปริมาณส่วน
ประกอบสำคัญ ชื่อที่ตั้งของผู้ผลิตหรือผู้นำเข้า เลขที่แสดงครั้งที่ผลิต วันเดือนปีที่ผลิต วิธีใช้ปริมาณสุทธิและคำเตือน (ถ้ามี)




การเลือกใช้เครื่องสำอางป้องกันแสงแดด


โดยทั่วไปการหลีกเลี่ยงแสงแดดเป็นสิ่งดีที่สุด ในกรณีที่ต้องการใช้เครื่องสำอางป้องกันแสงแดด มีข้อแนะนำในการเลือกใช้ดังนี้

1. เครื่องสำอางป้องกันแสงแดดที่มีประสิทธิภาพจะต้องบอกค่า SPF เช่น SPF 8 , 12 , 15 , 25 หรือ 30 เป็นต้น การเลือกใช้ขึ้นกับจุดมุ่งหมาย เช่น ผู้ที่ต้องอยู่ในแดดจ้าเป็นเวลานานๆ ควรเลือกชนิดที่มี SPF สูง เช่น SPF 15 หรือมากกว่า สำหรับผู้ที่ใช้เครื่องสำอางทาผิวหน้าที่มีส่วนผสมของสาร เอ เอช เอ ต้องใช้เครื่องสำอาง ป้องกันแสงแดด ควบคู่ไปด้วยเนื่องจาก เอ เอช เอ จะทำให้ผิวหน้าไวต่อแสงแดดมากขึ้น

2. เลือกดูที่ฉลากระบุว่ากันน้ำหรือไม่เพราะกรณีต้องการป้องกันแสงแดดขณะว่ายน้ำควรเลือกชนิดที่กันน้ำ (water resistance) ถ้าใช้ขณะอากาศร้อนมากเหงื่อออกง่าย หรือป้องกันแสงแดดเมื่อเล่นกีฬา ควรเลือกชนิดทนต่อเหงื่อ (sweat resistance)

3. ควรเลือกชนิดที่ฉลากระบุว่าสามารถป้องกันรังสียูวีเอหรือยูวีบีหรือป้องกันได้ทั้งสองอย่าง เพราะรังสียูวีเอทำให้ผิวเหี่ยวย่น รังสียูวีบีทำให้ผิวไหม้แดดและทำให้เกิดมะเร็งของผิวหนัง


ข้อแนะนำการใช้
* ควรทาเครื่องสำอางป้องกันแสงแดด ก่อนออกแดดอย่างน้อย 30 นาทีเพื่อให้เนื้อผลิตภัณฑ์เคลือบติดที่ผิวแดดได้ดียิ่งขึ้น

* ควรทาเครื่องสำอางป้องกันแสงแดด ให้ทั่วบริเวณที่จะต้องถูกแสงแดด ยกเว้นบริเวณรอบดวงตาและรอบริมฝีปาก หากต้องการปกป้องริมฝีปากในขณะออกแดด สามารถใช้ลิปสติกที่มีส่วนผสมของสารป้องกันแสงแดดได้

* ในกรณีเล่นกีฬากลางแจ้ง หรืออยู่กลางแจ้งมีเหงื่อออกหรือว่ายน้ำต้องทาเครื่องสำอางป้องกันแสงแดด ซ้ำทุก 1 ชั่วโมง

* ควรทาเครื่องสำอางป้องกันแสงแดดให้เหมาะกับการแต่งหน้า ถ้าเป็นเครื่องสำอางป้องกันแสงแดดประเภทสารที่เป็นตัวสะท้อนแสง( Physical sunscreen ) ควรทาหลังสุดเพื่อไม่ให้ขัดขวางเครื่องสำอางหรือสิ่งที่ทา
ตามหลังได้ส่วนประเภทสารดูดกลืนแสง( Chemical sunscreen ) ควรทาก่อนครีมชนิดอื่นๆ เพื่อให้สารดูดกลืนแสงจับยึดกับผิวได้ช่วยให้ประสิทธิภาพของการป้องกันแสงแดดของผลิตภัณฑ์ดี


การเลือกใช้เครื่องสำอางให้ปลอดภัย

           ตามบัญชีแนบท้ายประกาศกระทรวงสาธารณสุข พ.ศ. 2551 เรื่องกำหนดวัตถุที่ห้ามใช้เป็นส่วนผสมในการผลิตเครื่องสำอาง สารห้ามใช้ในเครื่องสำอางที่สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) ประกาศห้ามใช้ มีทั้งสิ้น 1,253 รายการ ซึ่งจะสามารถแบ่งเป็นกลุ่ม ได้แก่
       โลหะต่างๆ สารที่เข้าข่ายเป็นยา เช่น สารปฏิชีวนะ
       ฮอร์โมนส์ เช่น เอสโตรเจน
       สารที่มีความเสี่ยงต่อการแพร่กระจายของจุลินทรีย์ที่ก่อให้เกิดโรค
       พืชสมุนไพรบางชนิด
       สีย้อมผม
       สีบางชนิด
       สารแต่งกลิ่นหอม
       สารเสพติด(Narcotics, natural and synthetic)
       สารก่อมะเร็ง เช่น ไดออกเซน (Dioxane) ไนโตรซามีน       
       (Nitrosamine) เป็นต้น
       สารที่เป็นพิษต่อระบบสืบพันธุ์

       สำหรับเครื่องสำอางที่ทาง อย.ตรวจวิเคราะห์พบวัตถุที่ห้ามใช้เป็นส่วนผสมในการผลิตเครื่องสำอาง จะจัดเป็นเครื่องสำอางที่ไม่ปลอดภัยในการใช้ ผู้ใดผลิต นำเข้า หรือขาย จะต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 1 ปี หรือปรับไม่เกิน 6 หมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ




     เครื่องสำอางที่มักจะมีปัญหาที่เกิดกับผู้ใช้ ส่วนใหญ่แล้ว มักจะมีส่วนผสมของสารอันตรายที่ อย. ประกาศห้ามใช้ เป็นส่วนผสม  แต่ก็ยังมีผู้ผลิตบางรายที่ยังลักลอบใส่สารอันตรายลงไปในเครื่องสำอางอยู่ และสารอันตรายที่ อย. ตรวจเจอบ่อย ๆ  จะมีอยู่ 3 ตัว
 
1.สารประกอบของปรอท ทำให้เกิดอาการแพ้ ผื่นแดง ผิวหน้าดำ ผิวบางลง เกิดพิษสะสมของสารปรอท ทำให้ทางเดินปัสสาวะอักเสบ และไตอักเสบ

2.สารไฮโดรควิโนน เป็นสารที่ออกฤทธิ์ช่วยลดการสร้างเมลานินหรือเม็ดสีในผิวหนัง เคยได้รับอนุญาตให้ใช้ในครีมแก้ฝ้า แต่หลังจากปี 2539 ก็ห้ามใช้สารนี้ เพราะผู้ที่ใช้ผลิตภัณฑ์ผสมสารไฮโดรควิโนนรักษาฝ้าเป็นเวลานานๆ มักเจอปัญหาผิวหน้าระคายเคืองจนเกิดเป็นด่างขาวหรือในบางรายอาจจะทำให้ผิวหน้าคล้ำขึ้น และกลายเป็นฝ้าถาวรที่ไม่อาจรักษาให้หายขาดได้

3.กรดเรทิโนอิก (กรดวิตามินเอ) ทำให้หน้าแดง แสบร้อนรุนแรง เกิดการอักเสบ ผิวหน้าลอกอย่างรุนแรง และเป็นอันตรายต่อทารกในครรภ์


         

    จนถึงทุกวันนี้ อย. ได้ดำเนินการประกาศภาพและชื่อ เครื่องสำอางที่มีสารอันตรายไปแล้วทั้งหมด กว่า 660 รายการ โดยเราสามารถเข้าไปตรวจสอบรายชื่อเครื่องสำอางอันตรายดังกล่าวได้ที่ www.fda.moph.go.th เลือก “เครื่องสำอาง” และ “เครื่องสำอางอันตราย” เพือบางทีเครื่องสำอางที่เราใช้อยู่มันอาจจะมีส่วนผสมของสารอันตรายอยู่ก็ได้


ภาพจริงที่เกิดจากการใช้เครื่องสำอางที่มีส่วนผสมของสารอันตราย 
(น่ากลัวจัง !)

วันอังคารที่ 7 ธันวาคม พ.ศ. 2553

บทบาทของ...เครื่องสำอาง




      ดิฉันชื่อ นางสาวพัชราภรณ์ สมควร ชื่อเล่น นุ่ม  เรียนที่ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคล ล้านนา เชียงใหม่ และมีหนึ่งวิชาที่เป็นวิชาที่เกี่ยวข้องกับชีวิตประจำวันของเรา คือวิชา วิทยาศาสตร์เพื่อสุขภาพ ที่ดิฉันและเพื่อน ๆ บธ.บ.กต1 ได้เรียนถือว่า เป็นวิชาที่มีเนื้อหาที่ให้ความรู้เกี่ยวกับการกิน การใช้ ยา อาหาร สมุนไพรต่าง ๆ เครื่องสำอาง และในปัจจุบันสินค้าเครื่องสำอางเข้ามามีบทบาทมากขึ้นในผู้บริโภคทุกเพศ ทุกวัย ไม่ว่าลูกเล็กเด็กแดง วัยรุ่นหนุ่มสาว วัยทำงาน ไปจนถึงวัยชรา
     เครื่องสำอางเป็นสิ่งที่ขาดไม่ได้ในชีวิตประจำวันเริ่มตั้งแต่ตื่นนอนในตอนเช้า จนถึงเข้านอนในตอนกลางคืน ทำให้เห็นว่าการใช้เครื่องสำอางอาจเกิดอาการไม่พึงประสงค์จากการใช้เครื่องสำอาง มีให้เห็นตามข่าวอยู่ บ่อยครั้ง บางรายถึงขั้นเสียโฉม หน้าตาพังยับเยิน เพียงเพราะความ รู้เท่าไม่ถึงการณ์ หลงเชื่อคำโฆษณาโอ้อวดเกินจริง เช่น ใช้แล้วผิวจะขาวขึ้น ได้ภายใน 7 วัน ผ่านการทดสอบทางการแพทย์แล้วว่าไม่ระคายเคือง/ไม่แพ้ แม้ผิวที่บอบบาง เป็นต้น สาเหตุเกิดจากเครื่องสำอางเหล่านี้ มีส่วนผสมของ สารอันตรายที่ห้ามใช้ในเครื่องสำอางผสมอยู่ ซึ่งมีผู้ผลิตบางรายลักลอบใส่ เพื่อให้เครื่องสำอางของตนใช้แล้วเห็นผลชัดเจน รวดเร็ว แต่สารดังกล่าวหาก ใช้ไปนาน ๆ ก่อให้เกิดอาการไม่พึงประสงค์ เช่น ผิวหน้าระคายเคือง หน้าดำคล้ำ เป็นฝ้าถาวร ถึงขั้นเสียโฉมดังที่ตกเป็นข่าว
      ดังนั้นดิฉันจึงอยากจะทำ Blog ที่ให้ความรู้เกี่ยวภัยจากเครื่องสำอาง ซึ่งหลายคนอาจยังไม่ทราบ ถึงภัยทีอยู่ใกล้ตัวของเราเอง


เรา...ในฐานะผู้บริโภคควรจะเลือกใช้อย่างไรให้ปลอดภัย




1. เราควรซื้อเครื่องสำอางจากร้านที่มีสถานที่จำหน่ายที่เป็นหลักแหล่ง แน่นอน เพราะถ้าหากเรามีปัญหาจะได้สามารถติดต่อกลับได้ทันที

2. เลือกซื้อเครื่องสำอางที่มีฉลากภาษาไทย ที่ระบุสาระสำคัญครบถ้วน ได้แก่ ชื่อ ประเภทของเครื่องสำอาง ส่วนประกอบ ชื่อและที่ตั้งของผู้ผลิต หรือผู้นำเข้า เดือนปีที่ผลิต วิธีใช้ และ ปริมาณสุทธิ เป็นต้น

3. ถ้าหากจะใช้เครื่องสำอางชนิดใดเป็นครั้งแรก ก็ควรทดสอบการแพ้ก่อนใช้ด้วยการทา ผลิตภัณฑ์นั้นในปริมาณน้อยที่บริเวณท้องแขน หรือบริเวณติ่งหู แล้วทิ้งไว้ 24-48 ชั่วโมง หากไม่มี ความผิดปกติ ใด ๆ เกิดขึ้น ก็แสดงว่าใช้เครื่องสำอางนั้นได้ค่ะ

4. ปฏิบัติตามวิธีใช้ที่ระบุไว้ และใช้ด้วยความระมัดระวังตามคำเตือนที่ระบุไว้ที่ฉลาก อย่างเคร่งครัด

5. หากใช้เครื่องสำอางใดแล้วมีความผิดปกติเกิดขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการใช้ครั้งแรก หรือใช้ มาระยะหนึ่งแล้วก็ตาม ต้องหยุดใช้ทันที และถ้าหยุดใช้แล้วอาการยังไม่ดีขึ้น ก็ควรปรึกษาแพทย์ หรือเภสัชกร เพื่อค้นหาสาเหตุ และทำการรักษาให้ถูกต้องเหมาะสมต่อไป

6. ทุกครั้งเมื่อเราใช้เครื่องสำอางเสร็จแล้ว ควรปิดภาชนะบรรจุให้สนิทเพื่อป้องกันการปนเปื้อนที่อาจจะตกลงไปที่ภาชนะที่บรรจุ

7. ครวจะเก็บเครื่องสำอางไว้ในที่แห้ง เย็น ไม่ถูกความร้อนหรือแสงแดด เพราะความร้อนหรือ แสงแดด จะทำให้เครื่องสำอางเสื่อมคุณภาพเร็วกว่าที่ควรค่ะ

8. ห้ามเติมสารใด ๆ ลงในเครื่องสำอาง ยกเว้นกรณีที่ระบุไว้ที่ฉลาก เพราะจะทำให้ คุณภาพของผลิตภัณฑ์เปลี่ยนแปลงไป เกิดการปนเปื้อนจากสารอื่น ๆ รวมทั้งเชื้อโรคด้วยค่ะ

9. อย่าใช้เครื่องสำอางร่วมกับผู้อื่น เพราะอาจติดเชื้อโรคได้

10. หากเครื่องสำอางมีลักษณะเปลี่ยนแปลงไป ไม่ว่าสี กลิ่น หรือความข้น อย่าไป เสียดายนะคะ ให้ทิ้งไปเลย เพราะแสดงว่าเครื่องสำอางนั้นเสื่อมคุณภาพแล้วนั่นเอง




"ลองหันไปดูซิว่าเครื่องสำอางที่คุณใช้อยู่ปลอดภัยจริง ๆ หรือเปล่า ? "